Happy Franchise - วัสดุก่อสร้าง
Happy Franchiseศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง ราคาปลีกและราคาส่งทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ทาง Happy สามารถจำหน่ายวัสดุก่อสร้างในปริมาณเยอะๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ารวมถึงสินค้าร่วมรายการอื่นๆ (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าจัดส่ง)
วัสดุก่อสร้างจาก Happy Franchise มีให้เลืิอกหลากหลาย เริ่มตั้งแต่งาน Precast ไปจนถึงงานตกแต่ง วัสดุก่อสร้างที่เป็นจุดเด่นของทาง Happy และตอบโจทย์กับทางลูกค้าได้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ กำแพงกันดินสำเร็จรูป, รั้วสำเร็จรูป, EPS Wall, EPS Roof, แปโอเมก้า และ Metal Sheet เป็นต้น
ตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่สำคัญจากทาง Happy ได้แก่
1. วัสดุโครงสร้าง
- เหล็ก ได้แก่ เหล็กรางยู , เหล็ก Galvanized
- งานคอนกรีต ได้แก่ กำแพงกันดินสำเร็จรูป, คานคอดิน, ฐานราก. รั้วสำเร็จรูป, เสาไอรั้วสำเร็จรูป, คานรั้วสำเร็จรูป. ฐานรากรั้วสำเร็จรูป
2. โครงสร้างหลังคา
- หลังคา : Metal Sheet 0.35 มม. และ 0.40 mm.
- แปหลังคา : Omega Shape G345 , Omega Shape G450
3. วัสดุตกแต่ง
- ผนังตกแต่ง ได้แก่ 3D wall, PU Wall, EPS Wall
- พื้นตกแต่ง ได้แก่ กระเบื้องยาง. พื้นไม้เทียมแบบตัน แบบร่อง และแบบกลวง
- ประตู ได้แก่ ประตูสแตนเลส, ประตูเหล็กนิรภัย และลูกบิดประตู
- หน้าต่าง ได่แก่ หน้าต่าง UPVC
- งานสี Painting ได้แก่ แปรงทาสี เป็นต้น
4. วัสดุฉนวนต่าง ๆ
- ฉนวนกันความร้อน ได้แก่ PE, EPS Foam
- วัสดุเก็บเสียง ได้แก่ EPS Foam เป็นต้น

เครื่องมือก่อสร้าง
คืออุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ซ่อมแซม และบำรุงรักษา ซึ่งมีทั้งเครื่องมือแบบมือถือและเครื่องมือขนาดเล็ก ตัวอย่างเครื่องมือก่อสร้างทั่วไป ได้แก่:
- ค้อน-ใช้สำหรับตอกตะปูหรือทุบสิ่งของ
- ไขควง-ใช้หมุนหรือขันสกรู
- ตลับเมตร-ใช้วัดความยาว ความกว้าง หรือความสูงของวัสดุ
- ระดับน้ำ-ใช้ตรวจสอบความตรงแนวนอนหรือแนวตั้งของพื้นผิว
- ประแจ-ใช้หมุนหรือขันน็อตและสกรู
- คีม-ใช้จับ บิด หรือ ตัดลวดและวัสดุต่างๆ
- สว่าน-ใช้เจาะรูในวัสดุหรือขันสกรู
- เลื่อย-ใช้ตัดไม้ เหล็ก หรือวัสดุอื่นๆ
- สิ่ว-ใช้แกะหรือขึ้นรูปวัสดุต่างๆ เช่น ไม้ หรือหิน
- เกรียง-ใช้สำหรับฉาบปูนหรือปาดปูนให้เรียบ
เครื่องมือเหล่านี้มีความสำคัญในการดำเนินงานก่อสร้างและการซ่อมแซมงานต่างๆ ตั้งแต่งานขนาดเล็กไปจนถึงโครงการใหญ่ๆ
เครื่องจักรก่อสร้าง
คือเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้ในการดำเนินงานก่อสร้างต่าง ๆ เช่น ขุด เจาะ ยก หรือขนส่งวัสดุหนัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการทำงาน ตัวอย่างเครื่องจักรก่อสร้างที่ใช้บ่อย ได้แก่:
- รถขุด (Excavator)-ใช้สำหรับขุดดิน เจาะ หรือขุดหลุมลึก
- รถตัก (Loader)-ใช้ตักและเคลื่อนย้ายวัสดุ เช่น ดิน ทราย หรือกรวด
- รถเกรด (Grader)-ใช้ปรับระดับพื้นผิวถนนหรือพื้นที่ก่อสร้าง
- รถเครน (Crane)-ใช้ยกวัสดุหนักขึ้นไปยังที่สูง
- รถดั๊ม (Dump Truck)-ใช้ขนส่งวัสดุที่เป็นดิน หิน หรือทราย
- รถบดถนน (Road Roller)-ใช้บดอัดพื้นผิวถนนให้เรียบและแข็งแรง
- รถแทรกเตอร์ (Tractor)-ใช้ลากจูงหรือขนย้ายอุปกรณ์หรือวัสดุ
- เครื่องผสมปูน (Concrete Mixer)-ใช้ผสมและขนส่งคอนกรีต
- รถขุดเจาะ (Drill Rig)-ใช้เจาะหลุมลึกหรือขุดเจาะพื้นผิวแข็ง
- รถปูยางมะตอย (Asphalt Paver)-ใช้ปูยางมะตอยบนพื้นผิวถนน
เครื่องจักรก่อสร้างเหล่านี้ช่วยเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงานก่อสร้าง และลดความเหนื่อยล้าของแรงงาน
ข้อดีของเครื่องมือและเครื่องจักรก่อสร้างมีหลายประการ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดค่าใช้จ่ายในโครงการก่อสร้าง ดังนี้:
ข้อดีของเครื่องมือก่อสร้าง
- ความสะดวกในการใช้งาน: เครื่องมือที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ช่วยให้การทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ความแม่นยำ: เครื่องมือช่วยให้การวัดและการตัดแม่นยำ ส่งผลให้ผลงานที่ได้มีคุณภาพสูง
- ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ: การใช้เครื่องมือช่วยลดการทำงานด้วยมือที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- ประหยัดเวลา: เครื่องมือช่วยลดเวลาในการทำงาน ทำให้สามารถดำเนินโครงการได้รวดเร็วขึ้น
- ความหลากหลาย: มีเครื่องมือหลายประเภทที่ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละงาน
ข้อดีของเครื่องจักรก่อสร้าง
- ประสิทธิภาพสูง: เครื่องจักรช่วยให้สามารถทำงานได้มากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้แรงงานมาก
- การขนส่งวัสดุได้อย่างรวดเร็ว: เครื่องจักรช่วยขนส่งวัสดุหนักจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- ความสามารถในการทำงานที่หนัก: เครื่องจักรสามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากหรือในพื้นที่ที่คนไม่สามารถเข้าถึงได้
- ลดต้นทุนแรงงาน: การใช้เครื่องจักรช่วยลดความต้องการแรงงานมนุษย์ในงานที่ใช้แรงงานมาก
- ความปลอดภัย: เครื่องจักรสามารถลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บจากการทำงานที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้แรงงานมนุษย์
การใช้เครื่องมือและเครื่องจักรก่อสร้างจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนางานก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้โครงการสามารถเสร็จสิ้นได้ตามกำหนดเวลาและมีคุณภาพสูง
วิธีการสั่งซื้อ สามารถสั่งซื้อได้ 2 ช่องทาง คือ
ช่องทางที่ 1 กดเลือกสินค้าผ่านทาง Website
- 1. สรุปรายการสินค้า
- 2. คำนวณค่าขนส่ง (กรอกรายละเอียดในการจัดส่งสินค้า โดยการคิดค่าขนส่งทางระบบจะคำนวณตามระยะทาง และน้ำหนักของสินค้า)
- 3. เลือกช่องทางในการชำระเงิน (บัตรเครดิตหรือโอนชำระเงินผ่าน)
**การเลือกซื้อสินค้าตามช่องทางการซื้อนี้ ทางบริษัทจะจัดส่งสินค้าให้ภายใน 3-45 วัน ขึ้นอยู่กับสินค้าว่าต้องมีการ Pre-Order หรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางบริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบหากต้องมีการรอสินค้าเป็นเวลานาน**
ช่องทางที่ 2 ติดต่อตัวแทนจำหน่ายของทางบริษัทในการซื้อสินค้า